วันศุกร์ที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2560

ภาวะขาดน้ำ (water depletion) อาการ อันตราย และการป้องกัน

ภาวะขาดน้ำ  (Water depletion) อาการ อันตรายและการป้องกัน




สาเหตุ  
ภาวะขาดน้ำที่พบได้บ่อยจะมีการเปลี่ยนแปลงความเข้มข้นออสโมลลาลิตี้ร่วมด้วย  ซึ่งจะมีค่าเพิ่มสูงขึ้น  โดยมากแล้ว มักจะเกิดจากการเสียเหงื่อมากกว่าปกติ  จึงทำให้มีการเปลี่ยนแปลงทั้งปริมาตรเลือด  ความดันเลือดและความเข้มข้นของ plasma
               ถ้าเกิดสภาวะที่ผิดปกติขึ้น  เช่น  ท้องร่วง  การเสียเลือด  การอาเจียน  ก็จะเกิดภาวะขาดน้ำที่ความเข้มข้นออสโมลาลิตี้ ไม่เปลี่ยนแปลงได้ เนื่องจากมีการสูญเสียอิเล็กโทรไลท์ร่วมด้วยในปริมาณมากพอ  ( การเสียเลือดจะเป็น isotonic  เสมอ  แต่ ท้องร่วงและอาเจียน อาจเป็น แบบ hypertonic  ได้ ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการ )
นอกจากนี้  ยังมีสาเหตุอื่นๆ อีกที่ทำให้เกิดภาวะขาดน้ำได้  เช่น
  • ภาวะที่ไม่รู้สึกตัวหรือกลืนลำบาก  ทำให้ได้รับน้ำไม่เพียงพอกับปริมาณที่สูญเสียไป

  • ภาวะที่สมองส่วน hypothalamus ถูกทำลายทำให้ระบบควบคุมการกระหายน้ำผิดปกติไป

  • ภาวะที่เป็นโรคเบาจืด ( diabetes insipidus ) เนื่องจากขาด ADH ( antidiuretic hormone )

ลักษณะอาการที่แสดงออก
      ลักษณะที่แสดงออกทางใบหน้า หน้าซีด ตาลึก ปากแห้ง แต่บริเวณรอยต่อของเหงือกและเยื่อบุแก้ม ยังคงชื้นอยู่ (แต่ถ้ามีอาการปากแห้งร่วมกับมีเมือกเหนียวในช่องปาก ควรพิจารณาภาวะโซเดียมเกิน (hypernatremia) ร่วมด้วย)
  •     กระหายน้ำมากขึ้น การที่ปริมาตรของเหลวในร่างกายลดลง จะมีผลทำให้ความเข้มข้นของของเหลวในร่างกายเพิ่มขึ้น จึงมีผลทำให้ศูนย์ควบคุมการกระหายในสมองทำงานมากขึ้น เป็นผลทำให้เกิดการกระหายน้ำเพิ่มมากขึ้นด้วย นอกจากนี้การกระหายน้ำยังมีสาเหตุมาจาก hyperglycemia เป็นไข้ ท้องร่วง หรือความผิดปกติของดุลอิเล็กโทรไลท์ เช่น hypercalcemia  และ hypokalemia 

  •    ลิ้นแห้งสาก และมีขนาดเล็กลง  เป็นอาการที่พบบ่อยและบ่งชี้ว่าเป็น FVD  (fluid  volumn depletion)

  •        อุณหภูมิลดลง ผิวหนังจะซีดและเย็น เนื่องมาจากการหดตัวของหลอดเลือด

  •         ผิวหนังจะเสียความยืดหยุ่น คุณสมบัติในการยืดหยุ่นจะเสียไป จึงทำให้เวลาดึงจะกลับคืนสู่สภาพเดิมช้ากว่าปกติ ประมาณ 2-3  วินาที

  •         ปัสสาวะน้อย   น้อยกว่า  30  ml/hr

  •        น้ำหนักลดลง  เป็นผลมาจากการสูญเสียน้ำของร่างกาย


อันตราย สำหรับผู้ที่ขาดน้ำไม่มากเราอาจจะสังเกตสิ่งต่อไปนี้
  • ผิวแห้ง ริมฝีปากแห้ง
  • เพลียหลับงาน เด็กจะซึมไม่ค่อยเล่น
  • หิวน้ำ
  • ปัสสาวะน้อยลง เด็กเล็กจะปัสสาวะน้อยกว่า 6 ครั้งใน 1 วัน ส่วนเด็กโตหากไม่ปัสสาวะใน 8 ชั่วโมงถือว่าร่างกายขาดน้ำ
  • เด็กร้องไห้ไม่มีน้ำตา
  • ไม่มีแรง
  • ปวดศรีษะ
อันตราย สำหรับผู้ที่ขาดน้ำอย่างรุนแรงจะสังเกตเห็นสิ่งต่อไปนี้
  • กระหายน้ำอย่างมาก
  • สับสนกระวนกระวาย เด็กอาจจะซึมลง
  • ผิวหนัง ปากจะแห้งมาก
  • ไม่มีเหงื่อ
  • ไม่ปัสสาวะ หรือปัสสาวะออกน้อยมาก
  • ตาโหล
  • ผิวแห้งสูญเสียความยึดหยุ่่น เมื่อเราดึงผิวหนังขึ้นมาผิวจะตั้งได้ดังรูป
  • หากเป็นเด็กทารกบริเวณขม่อมจะบุ๋มลง
  • ความดันต่ำ ชีพขจรเร็ว
  • หายใจเร็ว
  • ซึม หรือหมดสติ

การรักษา

การทดแทนน้ำเป็นวิธีที่ดีที่สุด
  1. การทดแทนน้ำในเด็ก
  • หากไม่มีข้อห้ามจากแพทย์ท่านสามารถดื่มน้ำเกลือแร่ทันทีที่มีภาวะเสียน้ำ เช่นท้องร่วง หากไม่มีน้ำเกลือแร่ก็อาจจะผสมเกลือ ครึ่งช้อนชา ผงฟู ครึ่งช้อนชา น้ำตาล 3 ช้อนโต๊ะผสมในน้ำ 1 ลิตร เราจะรู้ว่าได้รับน้ำเพียงพอโดยดูจากปริมาณปัสสาวะและสีปัสสาวะว่าใสและออกมากจึงลงปริมาณน้ดื่ม
  • สำหรับทารกไม่ต้องหยุดนมแต่ให้รับน้ำเกลือแร่เสริม สำหรับผู้ที่ดื่มนมผงก็เปลี่ยนนมที่ไม่มี lactose จนกระทั่งท้องร่วงดีขึ้นจึงให้ดื่มนมตามปกติ
  • ให้หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มหรืออาหารบางประเภท เช่นน้ำเปล่าเพราะว่าไม่มีเกลือแร่ น้ำดื่มสำหรับออกกำลังไม่เหมาะสมที่นำมาใช้ในคนที่เสียน้ำจากท้องร่วงเพราะในน้ำดื่มสำรับออกกำลังจะมีเกลือแร่น้อยกว่า
  1. การทดแทนน้ำสำหรับผู้ที่ออกกำลังกาย ให้ใช้น้ำเปล่าหรืออาจจะใช้น้ำดื่มสำหรับคนที่ออกกำลังกาย
  2. สำหรับผู้ใหญ่ที่ท้องร่วงก็ทดแทนโดยการดื่มน้ำหรือน้ำเกลือแร่ให้พอ
  3. สำหรับผู้ที่ป่วยหนักต้องรับตัวไว้รักษาในโรงพยาบาล

ภาวะแทรกซ้อนที่สำคัญ

ภาวะขาดน้ำหากเราได้รับน้ำทดแทนไม่ทันเวลาและปริมาณไม่พอก็อาจจะทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนซึ่งอาจจะอันตรายทำให้เสียชีวิตได้

การดื่มน้ำอย่างถูกวิธี

  1. น้ำที่ดื่มถ้าจะให้ดีต้องเป็นน้ำอุณหภูมิปกติ ไม่ร้อนมากหรือเย็นจัด แต่ก็ยกเว้นในบางกรณี เช่น ตอนเช้าถ้าเป็นไปได้ควรดื่มน้ำอุ่นเพราะจะช่วยในการขับถ่ายให้ดียิ่งขึ้น ลำไส้ก็จะสะอาดมากขึ้นตามไปด้วย
  2. การดื่มนั้นที่ถูกต้องนั้น ควรดื่มอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว หรือจะให้ดีก็วันละ 14 แก้ว หรือโดยเฉลี่ยแล้วควรดื่มน้ำให้เพียงพอกับน้ำหนักตัวของคุณ เช่น ถ้าคุณมีน้ำหนัก 60 kg. ก็ควรดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 2 ลิตร หรือประมาณ 10 แก้วนั่นเอง (กรณีนี้ให้นับรวมปริมาณอื่น ๆด้วย เช่น น้ำจากผักผลไม้ แกง ก๋วยเตี๋ยวต่าง ๆ ด้วย)
  3. ในตอนเช้าหลังตื่นนอนหรือก่อนแปรงฟัน ควรดื่มน้ำ 2-4 แก้ว เป็นน้ำอุ่น ๆ ได้ก็จะดีมาก
  4. ในระหว่างวันควรดื่มน้ำ 1 แก้วทั้งก่อนและหลังมื้ออาหารทุก ๆ มื้อ และในระหว่างช่วงสาย บ่าย เย็น ก็ควรดื่มน้ำอีกครั้งละ 1 แก้ว
  5. ในช่วงก่อนนอน น้ำอุ่น ๆ สัก 1 แก้วจะดีมาก
  6. การดื่มน้ำควรดื่มครั้งละแก้ว และที่สำคัญไม่ควรดื่มรวดเดียวหลาย ๆ แก้ว เพราะจะไม่เป็นผลดีต่อร่างกาย ซึ่งอาจทำให้เกิดภาวะ “น้ำเป็นพิษได้”
  7. ประโยชน์ของน้ำอย่าดื่มน้ำมากเกินไปก่อนที่จะรับประทานอาหาร หรือถ้าจะดื่มก็ควรดื่มน้ำก่อนสักประมาณครึ่งชั่วโมง หรือ 45 นาที
  8. ในระหว่างรับประทานอาหารไม่ควรดื่มน้ำตลอดเวลา เพราะจะทำให้น้ำย่อยในกระเพาะอาหารเจือจาง ทำให้ระบบย่อยทำงานได้ไม่ดี
  9. ภายหลังจากรับประทานอาหารเสร็จไม่ควรดื่มน้ำทันที เพราะจะทำให้น้ำย่อยในกระเพาะเจือจางลง ส่งผลให้การย่อยอาหารทำงานได้ไม่เต็มที่ โดยควรดื่มหลังจากรับประทานอาหารเสร็จแล้วครึ่งชั่วโมง
  10. หลีกเลี่ยงการดื่มน้ำเย็นและน้ำอัดลม เพราะน้ำเย็นจะไปดึงความร้อนในร่างกายมาทำให้น้ำที่เราดื่มเข้าไปมีอุณหภูมิเท่ากับร่างกายจึงจะดูดซึมได้ ทำให้ร่างกายเสียเวลาในการปรับสมดุลและสูญเสียพลังงาน
  11. สำหรับคุณผู้หญิงบางท่านที่มักมีอาการปวดประจำเดือน ช่วงที่มีประจำเดือนควรงดดื่มน้ำเย็น เพราะการดื่มน้ำเย็นจะทำให้อาการปวดทวีความรุนแรงมากขึ้น

Credit :
https://medthai.com/น้ำ/



วันจันทร์ที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2560

Fat Grafting คืออะไร


เครดิต : นพ.ปิยพล พัฒนครู
Fat Grafting หรือ Fat Transfer หรือ Fat Filler เป็นความพยายามที่จะนำเอาไขมันในส่วนที่ไม่ต้องการเช่นหน้าท้อง หรือต้นขา มาใช้ยังบริเวณที่ต้องการเช่น บริเวณใบหน้า หรือเสริมหน้าอก เพื่อที่จะให้บริเวณที่มีไขมันสะสมน้อยลงอาจเนื่องด้วยตามวัยเช่น เวลาอายุมากขึ้นความแข็งแรงระหว่างผังผืดกับชั้นไขมันที่ยึดใบหน้านั้นลดลงร่วมกับไขมันในบางบริเวณลดลงทำให้เกิด ริ้วรอย เกิดร่องแก้ม ร่องน้ำตาเกิดขึ้นบางคนแก้มตอบจากการที่ไขมันบริเวณแก้มลดลง หรือ บางครั้งบางคนหน้าอกเล็กเนื่องจากกรรมพันธุ์ หรือโรคบางชนิด ซึ่งการเพิ่มไขมันในบริเวณที่ต้องการนั้นจำเป็นที่ต้องใช้หลักการความรู้ด้าน tissue engineering และความเข้าใจเกี่ยวกับ cell ไขมันมาประกอบเนื่องจากไขมันนั้นบอบบางการคงอยู่ของไขมันที่ได้จากการดูดไขมันแล้วย้ายไปวางยังบริเวณที่ต้องการนั้นขึ้นอยู่กับ technique ของแพทย์ค่อนข้างมาก โดยเริ่มดั้งแต่ขั้นเลือกตำแหน่งที่จะดูดไขมัน การเลือกเครื่องมือที่จะใช้ดูดไขมัน การเตรียมไขมันก่อนที่จะย้ายไขมันไปยังตำแหน่งทีต้องการ รวมถึงทักษะในการวางไขมันไปยังตำแหน่งที่ต้องการ ซึ่งทำให้ผลของการทำ Fat Grafting ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยแต่ขณะนี้ด้วยวิวัฒนาการทางการแพทย์ทำให้เราสามารถเพื่มขีดความสามารถในการคงอยู่ของไขมันได้สูงขึ้นจึงเริ่มมีการนำเข้ามาใช้ในวงการศัลยกรรมความงามกันมากขึ้น จึงขอแนะนำว่าก่อนการตัดสินใจทำควรทราบถึงรายละเอียดการทำ ผลที่จะตามมาในช่วง 1-2 อาทิตย์แรก และผลในระยะยาว ร่วมกับผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้ก่อนการตัดสินใจ
Fat Grafting นำมาแก้ปัญหาอะไรได้บ้าง
  • เติมเต็มบริเวณส่วนต่างๆ ของร่างกายให้อวบอิ่ม เช่นบริเวณขมับ ร่องแก้ม ใต้ตา รอบดวงตา มุมคาง หน้าผาก เต้านม ฯลฯ
  • ฟื้นฟูสภาพผิวพรรณที่เสื่อมลง
  • เติมเต็มบริเวณหลังมือ ​
  • เติมเต็มร่องรอยความไม่เรียบหลังการดูดไขมัน ฯลฯ ​
ข้อดีของวิธีการนี้ ​
  • ไม่มีสิ่งแปลกปลอมเข้าไปในร่างกาย
  • ไขมันที่ฉีดเข้าไปและเหลืออยู่หลังจากผ่านไป 6 เดือนจะอยู่ได้ถาวร
  • ผลลัพธ์ที่ได้ดูเป็นธรรมชาติ
  • สามารถเติมเต็มไขมันได้ในปริมาณมากในการทำแต่ละครั้ง (อาจทำสองถึงสามครั้ง) ​
  • ไขมันเป็นฟิลเลอร์ที่มีชีวิตสามารถฟื้นฟูสภาพความมีชีวิตชีวาของผิวหน้าได้เพราะไขมันมีสเต็มเซลล์ไขมันปนอยู่
ข้อเสีย
  • ไม่สามารถทำในคนที่ผอมมากๆ ​
  • แม้ว่าผลการเติมเต็มไขมันจะดีขึ้นกว่าเดิม แต่ยังมีการสลายตัวบางส่วน ปริมาณการสลายตัวของไขมันนั้นไม่แน่นอนขึ้นอยู่กับธรรมชาติแต่ละคน และในแต่ละตำแหน่งของร่างกายที่ตอบสนองแตกต่างกัน
การเตรียมตัวก่อนเข้ารับการรักษา
  1. คนไข้อาจต้องพักฟื้นในช่วง 1- 3 สัปดาห์หลังทำ
  2. งดวิตามิน อาหารเสริม ยาบำรุง และยาต้านเกร็ดเลือดทุกชนิด ไม่ต่ำกว่า 1สัปดาห์
กระบวนการขั้นตอนในการผ่าตัด
  1. ก่อนอื่นต้องเลือกตำแหน่งที่ต้องการดูดไขมัน เช่นหากต้องการนำไปเสริมหน้าอก หรือเติมเต็มบริเวณใบหน้า ในการทำคนไข้จะอยู่ในท่านอนหงาย  มักจะเลือดดูดไขมันบริเวณหน้าท้อง  ต้นขาด้านในหรือด้านนอก คือเลือกบริเวณที่สามารถนำไขมันออกมาได้สะดวกที่สุด
  2. ฉีดยาชาไปยังบริเวณที่จะทำการดูดไขมัน
  3. ใช้เข็มดูดไขมันออกมา การใช้เข็มแทนการใช้เครื่องดูด จะดีในแง่ของการควบคุมความดัน เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาไขมันที่สลายและตายจำนวนมาก
  4. หลังจากได้ไขมันครบตามที่ต้องการแล้ว จะเข้าสู่ขั้นตอนการเตรียมไขมัน ด้วยกระบวนการ lipo- aspiration process ด้วยเครื่องปั่นทางการแพทย์ เพื่อแยกเนื้อเยื่อไขมันที่มีชีวิต ด้วยเครื่องปั่นทางการแพทย์ เพื่อแยกชั้นไขมัน เพื่อแยกให้ส่วนที่มีความเข้มข้นน้อยที่สุดอยู่ด้านบน รองลงมาคือเข้มข้นปานกลาง และเข้มข้นมากที่สุดอยู่ด้านล่าง การแยกชั้นทำเพื่อเลือกไขมันที่มีโอกาสมีชีวิตรอดมากที่สุดมาใช้  ตัดปริมาณสารที่ตายแล้วออก ซึ่งสิ่งที่ตายแล้วจะอยู่ด้านบนซึ่งมักจะเป็นพวกน้ำมัน เซลล์ไขมันต่างๆ ที่แตกตัว ซึ่งจะถูกคัดทิ้งไป
  5. นำไขมันที่ได้ไปสกัดเซลล์ไขมันเพื่อให้ได้เซลล์ไขมันที่ต้องการ ด้วยวิธีการที่เรียกว่า Cal (Cell-Assisted Lipotransfer) ซึ่งวิธีนี้ก็จะเป็นวิธีที่จะช่วยทำให้ ไขมันที่จะมีชีวิตอยู่ มีปริมาตรแน่นอน สามารถประเมินได้อย่างชัดเจนว่าต้องใส่ไขมันปริมาณเท่าใด
  6. นำไขมันที่ได้มาผสมกับเซลล์แล้วนำไปฉีดในบริเวณที่ต้องการด้วยเทคนิคที่เรียกว่า Structural Fat Graft เป็นการปลูกถ่ายไขมันเพื่อฟื้นคืนรูปทรงตามธรรมชาติแบบสามมิติของแต่ละส่วนย่อยๆของร่างกาย
  7. เข็มที่ใช้ในการฉีดแพทย์จะใช้ Blunt Cannular ซึ่งมีลักษณะเป็นเข็มปลายทู่ เพื่อลดการกระทบกระเทือนแก่อวัยวะข้างเคียงขณะฉีด  เพราะสิ่งที่ต้องระมัดระวังคือเส้นประสาท เส้นเลือด กล้ามเนื้อ และต่อมน้ำลายข้างแก้ม หากได้รับการกระทบเทือนอาจเกิดปัญหาตามมาได้ ในการฉีดแพทย์จะแทงเข็มเข้าไปยังตำแหน่งที่ต้องการ ลักษณะการแทงเข็มจะขึ้นอยู่กับเทคนิคของแพทย์แต่ละคน ซึ่งการทำให้ได้เรียบเนียนและการทำให้เซลล์ไขมันที่ใส่เข้าไปสูญเสียน้อยที่สุดอาจต้องใช้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญและมีประสบการณ์ในการทำค่อนข้างมากเนื่องจากต้องเข้าใจและรู้จักเซลล์ไขมันเป็นอย่างดีเพราะว่าเซลล์ไขมันค่อนข้างบอบบางและตายได้ง่ายมาก

ทั้งนี้วิทยาการทุกอย่างย่อมมีผู้เชี่ยวชาญหลายระดับ สภาพผู้ที่อยากจะเข้ารับบริการก็มีความพร้อมหรือพื้นฐานสุขภาพที่แตกต่างกัน การสวยหรือคงความเป็นหนุ่ม อ่อนเยาว์โดยวิธีธรรมชาติยังเป็นข้อแนะนำอันดับหนึ่ง ซึ่งก็คือการเลือกรับทานอาหารที่เหมาะกับวัย มีประโยชน์ มีสารอาหาร และวิตามินครบถ้วน ดื่มน้ำที่มีคุณสมบัติที่ดีให้เพียงพอ ออกกำลังกานที่เหมาะสม พักผ่อนให้เพียงพอ การรักษาความสะอาดร่างกาย และรักษารูปร่าง น้ำหนักที่สมดุลย์ ที่สำคัญที่สุดซึ่งได้พิสูจน์แล้วก็คือการที่มีสภาพจิตใจที่แข็งแรง หรือมีทัศนคติที่ถูกต้อง มีวุฒิภาวะทางอารมย์ดี สิ่งเหล่านี้เป็นองค์ประกอบพื้นฐานโดยธรรมชาติ ที่จะทำให้เราดูอ่อนเยาว์ได้อย่างยั่งยืนจากภานในถึงภายนอก จากจิตใจออกมาสู่ร่างกาย หวังว่าทุกท่านจะสามารถคงความแข็งแรงไว้ได้อย่างสดใส สดชื่น กระฉับกระเฉง และเปี่ยมด้วยสมองอันเฉียบคมอยู่เสมอ หากต้องการใช้วิทยาการเพื่อความสวยงาม หรืออ่อนเยาว์ก็ขอให้ใช้อย่างเหมาะสม หลังจากที่ได้ศึกษาข้อมูล ทราบผลกระทบต่างๆ แล้วเป็นอย่างดี