วันอังคารที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

น้ำกับการทำงานของสมอง

น้ำกับการทำงานของสมอง วิธีเพิ่มศักยภาพการทำงานของสมอง และความจำ กับเรื่องง่ายที่มักถูกละเลย

ก่อนอื่นขอขอบคุณ คุณหนูดี วานิสาเรซ ด้วยกับ หนังสืออัจฉริยะสร้างได้ที่พูดถึง น้ำกับการทำงานของสมอง วิธีเพิ่มศักยภาพการทำงานของสมอง

เรารู้กันอยู่แล้วว่าการดื่มน้ำ สามารถช่วยในการขับของเสียออกจากไต ช่วยให้ผิวพรรณเต่งตึง มีน้ำมีนวล หรือบ้างก็รู้มาว่าการดื่มน้ำยังช่วยลดความอ้วนได้ด้วย นั่นก็จริง แต่วันนี้เราจะพูดถึงอีกแง่มุมที่ไม่ค่อยมีใครพูดถึงนัก แต่บอกได้เลยว่าสำคัญอย่างมาก และอาจจะมากกว่าที่เรารู้ นั่นคือ การดื่มน้ำ ส่งผลต่อการทำงานของสมอง ซึ่งทำหน้าที่ควบคุม การทำงานของร่างกายทั้งหมด จำเป็นหรือยังที่คุณควรให้ความใส่ใจกับการดื่มน้ำมากขึ้น

มีหลักฐานจากการศึกษาทางการแพทย์ วิทยาศาสตร์การกีฬา ยืนยันว่า สมองของคนเรานั้น มีการสูญเสียน้ำในอัตราที่เร็ว และก่อนที่เราจะรู้สึกว่ากระหายน้ำด้วยซ้ำ ซึ่งผลที่เกิดขึ้นจะทำให้เราขาดสมาธิ เบื่อหน่าย งัวเงีย และจะค่อยๆมีอาการมึนงง สับสน ตามมานั่นเอง ฉะนั้นวิธีง่ายๆในการเพิ่มศักยภาพให้การทำงานของสมอง คือ การดื่มน้ำเปล่าไม่แช่เย็น ในปริมาณที่พอเหมาะ ไม่มากจนเกินไป เพราะการดื่มน้ำในปริมาณที่มากเกินไป อาจทำให้เกิดภาวะโซเดียมในเลือดต่ำ ทำให้เกลือในร่างกายลดลงและสมองบวม หรือ “ไฮโปแนทรีเมีย” (Hyponatremia) ในวงการกีฬา เชื่อว่า บ่อยครั้งความล้มเหลวต่างๆ ที่เกิดขึ้นในสนามแข่งขัน เกิดจาก การที่ร่างกายและสมองขาดน้ำ ผู้ดูแลจึงพยายามให้นักกีฬาดื่มน้ำอย่างเพียงพอ ทั้งในการฝึกซ้อมและในเกมส์การแข่งขัน เพื่อให้สมองและร่างกายทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

แม้กระทั่งการทดลองของ ดร. มาซารุ อิโมโตะ อันโด่งดัง ก็ยังมีข้อสรปที่ว่าน้ำมีความทรงจำ


เครดิตเรื่อง : bloxabout.com


วันศุกร์ที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2560

ภาวะขาดน้ำ (water depletion) อาการ อันตราย และการป้องกัน

ภาวะขาดน้ำ  (Water depletion) อาการ อันตรายและการป้องกัน




สาเหตุ  
ภาวะขาดน้ำที่พบได้บ่อยจะมีการเปลี่ยนแปลงความเข้มข้นออสโมลลาลิตี้ร่วมด้วย  ซึ่งจะมีค่าเพิ่มสูงขึ้น  โดยมากแล้ว มักจะเกิดจากการเสียเหงื่อมากกว่าปกติ  จึงทำให้มีการเปลี่ยนแปลงทั้งปริมาตรเลือด  ความดันเลือดและความเข้มข้นของ plasma
               ถ้าเกิดสภาวะที่ผิดปกติขึ้น  เช่น  ท้องร่วง  การเสียเลือด  การอาเจียน  ก็จะเกิดภาวะขาดน้ำที่ความเข้มข้นออสโมลาลิตี้ ไม่เปลี่ยนแปลงได้ เนื่องจากมีการสูญเสียอิเล็กโทรไลท์ร่วมด้วยในปริมาณมากพอ  ( การเสียเลือดจะเป็น isotonic  เสมอ  แต่ ท้องร่วงและอาเจียน อาจเป็น แบบ hypertonic  ได้ ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการ )
นอกจากนี้  ยังมีสาเหตุอื่นๆ อีกที่ทำให้เกิดภาวะขาดน้ำได้  เช่น
  • ภาวะที่ไม่รู้สึกตัวหรือกลืนลำบาก  ทำให้ได้รับน้ำไม่เพียงพอกับปริมาณที่สูญเสียไป

  • ภาวะที่สมองส่วน hypothalamus ถูกทำลายทำให้ระบบควบคุมการกระหายน้ำผิดปกติไป

  • ภาวะที่เป็นโรคเบาจืด ( diabetes insipidus ) เนื่องจากขาด ADH ( antidiuretic hormone )

ลักษณะอาการที่แสดงออก
      ลักษณะที่แสดงออกทางใบหน้า หน้าซีด ตาลึก ปากแห้ง แต่บริเวณรอยต่อของเหงือกและเยื่อบุแก้ม ยังคงชื้นอยู่ (แต่ถ้ามีอาการปากแห้งร่วมกับมีเมือกเหนียวในช่องปาก ควรพิจารณาภาวะโซเดียมเกิน (hypernatremia) ร่วมด้วย)
  •     กระหายน้ำมากขึ้น การที่ปริมาตรของเหลวในร่างกายลดลง จะมีผลทำให้ความเข้มข้นของของเหลวในร่างกายเพิ่มขึ้น จึงมีผลทำให้ศูนย์ควบคุมการกระหายในสมองทำงานมากขึ้น เป็นผลทำให้เกิดการกระหายน้ำเพิ่มมากขึ้นด้วย นอกจากนี้การกระหายน้ำยังมีสาเหตุมาจาก hyperglycemia เป็นไข้ ท้องร่วง หรือความผิดปกติของดุลอิเล็กโทรไลท์ เช่น hypercalcemia  และ hypokalemia 

  •    ลิ้นแห้งสาก และมีขนาดเล็กลง  เป็นอาการที่พบบ่อยและบ่งชี้ว่าเป็น FVD  (fluid  volumn depletion)

  •        อุณหภูมิลดลง ผิวหนังจะซีดและเย็น เนื่องมาจากการหดตัวของหลอดเลือด

  •         ผิวหนังจะเสียความยืดหยุ่น คุณสมบัติในการยืดหยุ่นจะเสียไป จึงทำให้เวลาดึงจะกลับคืนสู่สภาพเดิมช้ากว่าปกติ ประมาณ 2-3  วินาที

  •         ปัสสาวะน้อย   น้อยกว่า  30  ml/hr

  •        น้ำหนักลดลง  เป็นผลมาจากการสูญเสียน้ำของร่างกาย


อันตราย สำหรับผู้ที่ขาดน้ำไม่มากเราอาจจะสังเกตสิ่งต่อไปนี้
  • ผิวแห้ง ริมฝีปากแห้ง
  • เพลียหลับงาน เด็กจะซึมไม่ค่อยเล่น
  • หิวน้ำ
  • ปัสสาวะน้อยลง เด็กเล็กจะปัสสาวะน้อยกว่า 6 ครั้งใน 1 วัน ส่วนเด็กโตหากไม่ปัสสาวะใน 8 ชั่วโมงถือว่าร่างกายขาดน้ำ
  • เด็กร้องไห้ไม่มีน้ำตา
  • ไม่มีแรง
  • ปวดศรีษะ
อันตราย สำหรับผู้ที่ขาดน้ำอย่างรุนแรงจะสังเกตเห็นสิ่งต่อไปนี้
  • กระหายน้ำอย่างมาก
  • สับสนกระวนกระวาย เด็กอาจจะซึมลง
  • ผิวหนัง ปากจะแห้งมาก
  • ไม่มีเหงื่อ
  • ไม่ปัสสาวะ หรือปัสสาวะออกน้อยมาก
  • ตาโหล
  • ผิวแห้งสูญเสียความยึดหยุ่่น เมื่อเราดึงผิวหนังขึ้นมาผิวจะตั้งได้ดังรูป
  • หากเป็นเด็กทารกบริเวณขม่อมจะบุ๋มลง
  • ความดันต่ำ ชีพขจรเร็ว
  • หายใจเร็ว
  • ซึม หรือหมดสติ

การรักษา

การทดแทนน้ำเป็นวิธีที่ดีที่สุด
  1. การทดแทนน้ำในเด็ก
  • หากไม่มีข้อห้ามจากแพทย์ท่านสามารถดื่มน้ำเกลือแร่ทันทีที่มีภาวะเสียน้ำ เช่นท้องร่วง หากไม่มีน้ำเกลือแร่ก็อาจจะผสมเกลือ ครึ่งช้อนชา ผงฟู ครึ่งช้อนชา น้ำตาล 3 ช้อนโต๊ะผสมในน้ำ 1 ลิตร เราจะรู้ว่าได้รับน้ำเพียงพอโดยดูจากปริมาณปัสสาวะและสีปัสสาวะว่าใสและออกมากจึงลงปริมาณน้ดื่ม
  • สำหรับทารกไม่ต้องหยุดนมแต่ให้รับน้ำเกลือแร่เสริม สำหรับผู้ที่ดื่มนมผงก็เปลี่ยนนมที่ไม่มี lactose จนกระทั่งท้องร่วงดีขึ้นจึงให้ดื่มนมตามปกติ
  • ให้หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มหรืออาหารบางประเภท เช่นน้ำเปล่าเพราะว่าไม่มีเกลือแร่ น้ำดื่มสำหรับออกกำลังไม่เหมาะสมที่นำมาใช้ในคนที่เสียน้ำจากท้องร่วงเพราะในน้ำดื่มสำรับออกกำลังจะมีเกลือแร่น้อยกว่า
  1. การทดแทนน้ำสำหรับผู้ที่ออกกำลังกาย ให้ใช้น้ำเปล่าหรืออาจจะใช้น้ำดื่มสำหรับคนที่ออกกำลังกาย
  2. สำหรับผู้ใหญ่ที่ท้องร่วงก็ทดแทนโดยการดื่มน้ำหรือน้ำเกลือแร่ให้พอ
  3. สำหรับผู้ที่ป่วยหนักต้องรับตัวไว้รักษาในโรงพยาบาล

ภาวะแทรกซ้อนที่สำคัญ

ภาวะขาดน้ำหากเราได้รับน้ำทดแทนไม่ทันเวลาและปริมาณไม่พอก็อาจจะทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนซึ่งอาจจะอันตรายทำให้เสียชีวิตได้

การดื่มน้ำอย่างถูกวิธี

  1. น้ำที่ดื่มถ้าจะให้ดีต้องเป็นน้ำอุณหภูมิปกติ ไม่ร้อนมากหรือเย็นจัด แต่ก็ยกเว้นในบางกรณี เช่น ตอนเช้าถ้าเป็นไปได้ควรดื่มน้ำอุ่นเพราะจะช่วยในการขับถ่ายให้ดียิ่งขึ้น ลำไส้ก็จะสะอาดมากขึ้นตามไปด้วย
  2. การดื่มนั้นที่ถูกต้องนั้น ควรดื่มอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว หรือจะให้ดีก็วันละ 14 แก้ว หรือโดยเฉลี่ยแล้วควรดื่มน้ำให้เพียงพอกับน้ำหนักตัวของคุณ เช่น ถ้าคุณมีน้ำหนัก 60 kg. ก็ควรดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 2 ลิตร หรือประมาณ 10 แก้วนั่นเอง (กรณีนี้ให้นับรวมปริมาณอื่น ๆด้วย เช่น น้ำจากผักผลไม้ แกง ก๋วยเตี๋ยวต่าง ๆ ด้วย)
  3. ในตอนเช้าหลังตื่นนอนหรือก่อนแปรงฟัน ควรดื่มน้ำ 2-4 แก้ว เป็นน้ำอุ่น ๆ ได้ก็จะดีมาก
  4. ในระหว่างวันควรดื่มน้ำ 1 แก้วทั้งก่อนและหลังมื้ออาหารทุก ๆ มื้อ และในระหว่างช่วงสาย บ่าย เย็น ก็ควรดื่มน้ำอีกครั้งละ 1 แก้ว
  5. ในช่วงก่อนนอน น้ำอุ่น ๆ สัก 1 แก้วจะดีมาก
  6. การดื่มน้ำควรดื่มครั้งละแก้ว และที่สำคัญไม่ควรดื่มรวดเดียวหลาย ๆ แก้ว เพราะจะไม่เป็นผลดีต่อร่างกาย ซึ่งอาจทำให้เกิดภาวะ “น้ำเป็นพิษได้”
  7. ประโยชน์ของน้ำอย่าดื่มน้ำมากเกินไปก่อนที่จะรับประทานอาหาร หรือถ้าจะดื่มก็ควรดื่มน้ำก่อนสักประมาณครึ่งชั่วโมง หรือ 45 นาที
  8. ในระหว่างรับประทานอาหารไม่ควรดื่มน้ำตลอดเวลา เพราะจะทำให้น้ำย่อยในกระเพาะอาหารเจือจาง ทำให้ระบบย่อยทำงานได้ไม่ดี
  9. ภายหลังจากรับประทานอาหารเสร็จไม่ควรดื่มน้ำทันที เพราะจะทำให้น้ำย่อยในกระเพาะเจือจางลง ส่งผลให้การย่อยอาหารทำงานได้ไม่เต็มที่ โดยควรดื่มหลังจากรับประทานอาหารเสร็จแล้วครึ่งชั่วโมง
  10. หลีกเลี่ยงการดื่มน้ำเย็นและน้ำอัดลม เพราะน้ำเย็นจะไปดึงความร้อนในร่างกายมาทำให้น้ำที่เราดื่มเข้าไปมีอุณหภูมิเท่ากับร่างกายจึงจะดูดซึมได้ ทำให้ร่างกายเสียเวลาในการปรับสมดุลและสูญเสียพลังงาน
  11. สำหรับคุณผู้หญิงบางท่านที่มักมีอาการปวดประจำเดือน ช่วงที่มีประจำเดือนควรงดดื่มน้ำเย็น เพราะการดื่มน้ำเย็นจะทำให้อาการปวดทวีความรุนแรงมากขึ้น

Credit :
https://medthai.com/น้ำ/



วันจันทร์ที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2560

Fat Grafting คืออะไร


เครดิต : นพ.ปิยพล พัฒนครู
Fat Grafting หรือ Fat Transfer หรือ Fat Filler เป็นความพยายามที่จะนำเอาไขมันในส่วนที่ไม่ต้องการเช่นหน้าท้อง หรือต้นขา มาใช้ยังบริเวณที่ต้องการเช่น บริเวณใบหน้า หรือเสริมหน้าอก เพื่อที่จะให้บริเวณที่มีไขมันสะสมน้อยลงอาจเนื่องด้วยตามวัยเช่น เวลาอายุมากขึ้นความแข็งแรงระหว่างผังผืดกับชั้นไขมันที่ยึดใบหน้านั้นลดลงร่วมกับไขมันในบางบริเวณลดลงทำให้เกิด ริ้วรอย เกิดร่องแก้ม ร่องน้ำตาเกิดขึ้นบางคนแก้มตอบจากการที่ไขมันบริเวณแก้มลดลง หรือ บางครั้งบางคนหน้าอกเล็กเนื่องจากกรรมพันธุ์ หรือโรคบางชนิด ซึ่งการเพิ่มไขมันในบริเวณที่ต้องการนั้นจำเป็นที่ต้องใช้หลักการความรู้ด้าน tissue engineering และความเข้าใจเกี่ยวกับ cell ไขมันมาประกอบเนื่องจากไขมันนั้นบอบบางการคงอยู่ของไขมันที่ได้จากการดูดไขมันแล้วย้ายไปวางยังบริเวณที่ต้องการนั้นขึ้นอยู่กับ technique ของแพทย์ค่อนข้างมาก โดยเริ่มดั้งแต่ขั้นเลือกตำแหน่งที่จะดูดไขมัน การเลือกเครื่องมือที่จะใช้ดูดไขมัน การเตรียมไขมันก่อนที่จะย้ายไขมันไปยังตำแหน่งทีต้องการ รวมถึงทักษะในการวางไขมันไปยังตำแหน่งที่ต้องการ ซึ่งทำให้ผลของการทำ Fat Grafting ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยแต่ขณะนี้ด้วยวิวัฒนาการทางการแพทย์ทำให้เราสามารถเพื่มขีดความสามารถในการคงอยู่ของไขมันได้สูงขึ้นจึงเริ่มมีการนำเข้ามาใช้ในวงการศัลยกรรมความงามกันมากขึ้น จึงขอแนะนำว่าก่อนการตัดสินใจทำควรทราบถึงรายละเอียดการทำ ผลที่จะตามมาในช่วง 1-2 อาทิตย์แรก และผลในระยะยาว ร่วมกับผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้ก่อนการตัดสินใจ
Fat Grafting นำมาแก้ปัญหาอะไรได้บ้าง
  • เติมเต็มบริเวณส่วนต่างๆ ของร่างกายให้อวบอิ่ม เช่นบริเวณขมับ ร่องแก้ม ใต้ตา รอบดวงตา มุมคาง หน้าผาก เต้านม ฯลฯ
  • ฟื้นฟูสภาพผิวพรรณที่เสื่อมลง
  • เติมเต็มบริเวณหลังมือ ​
  • เติมเต็มร่องรอยความไม่เรียบหลังการดูดไขมัน ฯลฯ ​
ข้อดีของวิธีการนี้ ​
  • ไม่มีสิ่งแปลกปลอมเข้าไปในร่างกาย
  • ไขมันที่ฉีดเข้าไปและเหลืออยู่หลังจากผ่านไป 6 เดือนจะอยู่ได้ถาวร
  • ผลลัพธ์ที่ได้ดูเป็นธรรมชาติ
  • สามารถเติมเต็มไขมันได้ในปริมาณมากในการทำแต่ละครั้ง (อาจทำสองถึงสามครั้ง) ​
  • ไขมันเป็นฟิลเลอร์ที่มีชีวิตสามารถฟื้นฟูสภาพความมีชีวิตชีวาของผิวหน้าได้เพราะไขมันมีสเต็มเซลล์ไขมันปนอยู่
ข้อเสีย
  • ไม่สามารถทำในคนที่ผอมมากๆ ​
  • แม้ว่าผลการเติมเต็มไขมันจะดีขึ้นกว่าเดิม แต่ยังมีการสลายตัวบางส่วน ปริมาณการสลายตัวของไขมันนั้นไม่แน่นอนขึ้นอยู่กับธรรมชาติแต่ละคน และในแต่ละตำแหน่งของร่างกายที่ตอบสนองแตกต่างกัน
การเตรียมตัวก่อนเข้ารับการรักษา
  1. คนไข้อาจต้องพักฟื้นในช่วง 1- 3 สัปดาห์หลังทำ
  2. งดวิตามิน อาหารเสริม ยาบำรุง และยาต้านเกร็ดเลือดทุกชนิด ไม่ต่ำกว่า 1สัปดาห์
กระบวนการขั้นตอนในการผ่าตัด
  1. ก่อนอื่นต้องเลือกตำแหน่งที่ต้องการดูดไขมัน เช่นหากต้องการนำไปเสริมหน้าอก หรือเติมเต็มบริเวณใบหน้า ในการทำคนไข้จะอยู่ในท่านอนหงาย  มักจะเลือดดูดไขมันบริเวณหน้าท้อง  ต้นขาด้านในหรือด้านนอก คือเลือกบริเวณที่สามารถนำไขมันออกมาได้สะดวกที่สุด
  2. ฉีดยาชาไปยังบริเวณที่จะทำการดูดไขมัน
  3. ใช้เข็มดูดไขมันออกมา การใช้เข็มแทนการใช้เครื่องดูด จะดีในแง่ของการควบคุมความดัน เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาไขมันที่สลายและตายจำนวนมาก
  4. หลังจากได้ไขมันครบตามที่ต้องการแล้ว จะเข้าสู่ขั้นตอนการเตรียมไขมัน ด้วยกระบวนการ lipo- aspiration process ด้วยเครื่องปั่นทางการแพทย์ เพื่อแยกเนื้อเยื่อไขมันที่มีชีวิต ด้วยเครื่องปั่นทางการแพทย์ เพื่อแยกชั้นไขมัน เพื่อแยกให้ส่วนที่มีความเข้มข้นน้อยที่สุดอยู่ด้านบน รองลงมาคือเข้มข้นปานกลาง และเข้มข้นมากที่สุดอยู่ด้านล่าง การแยกชั้นทำเพื่อเลือกไขมันที่มีโอกาสมีชีวิตรอดมากที่สุดมาใช้  ตัดปริมาณสารที่ตายแล้วออก ซึ่งสิ่งที่ตายแล้วจะอยู่ด้านบนซึ่งมักจะเป็นพวกน้ำมัน เซลล์ไขมันต่างๆ ที่แตกตัว ซึ่งจะถูกคัดทิ้งไป
  5. นำไขมันที่ได้ไปสกัดเซลล์ไขมันเพื่อให้ได้เซลล์ไขมันที่ต้องการ ด้วยวิธีการที่เรียกว่า Cal (Cell-Assisted Lipotransfer) ซึ่งวิธีนี้ก็จะเป็นวิธีที่จะช่วยทำให้ ไขมันที่จะมีชีวิตอยู่ มีปริมาตรแน่นอน สามารถประเมินได้อย่างชัดเจนว่าต้องใส่ไขมันปริมาณเท่าใด
  6. นำไขมันที่ได้มาผสมกับเซลล์แล้วนำไปฉีดในบริเวณที่ต้องการด้วยเทคนิคที่เรียกว่า Structural Fat Graft เป็นการปลูกถ่ายไขมันเพื่อฟื้นคืนรูปทรงตามธรรมชาติแบบสามมิติของแต่ละส่วนย่อยๆของร่างกาย
  7. เข็มที่ใช้ในการฉีดแพทย์จะใช้ Blunt Cannular ซึ่งมีลักษณะเป็นเข็มปลายทู่ เพื่อลดการกระทบกระเทือนแก่อวัยวะข้างเคียงขณะฉีด  เพราะสิ่งที่ต้องระมัดระวังคือเส้นประสาท เส้นเลือด กล้ามเนื้อ และต่อมน้ำลายข้างแก้ม หากได้รับการกระทบเทือนอาจเกิดปัญหาตามมาได้ ในการฉีดแพทย์จะแทงเข็มเข้าไปยังตำแหน่งที่ต้องการ ลักษณะการแทงเข็มจะขึ้นอยู่กับเทคนิคของแพทย์แต่ละคน ซึ่งการทำให้ได้เรียบเนียนและการทำให้เซลล์ไขมันที่ใส่เข้าไปสูญเสียน้อยที่สุดอาจต้องใช้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญและมีประสบการณ์ในการทำค่อนข้างมากเนื่องจากต้องเข้าใจและรู้จักเซลล์ไขมันเป็นอย่างดีเพราะว่าเซลล์ไขมันค่อนข้างบอบบางและตายได้ง่ายมาก

ทั้งนี้วิทยาการทุกอย่างย่อมมีผู้เชี่ยวชาญหลายระดับ สภาพผู้ที่อยากจะเข้ารับบริการก็มีความพร้อมหรือพื้นฐานสุขภาพที่แตกต่างกัน การสวยหรือคงความเป็นหนุ่ม อ่อนเยาว์โดยวิธีธรรมชาติยังเป็นข้อแนะนำอันดับหนึ่ง ซึ่งก็คือการเลือกรับทานอาหารที่เหมาะกับวัย มีประโยชน์ มีสารอาหาร และวิตามินครบถ้วน ดื่มน้ำที่มีคุณสมบัติที่ดีให้เพียงพอ ออกกำลังกานที่เหมาะสม พักผ่อนให้เพียงพอ การรักษาความสะอาดร่างกาย และรักษารูปร่าง น้ำหนักที่สมดุลย์ ที่สำคัญที่สุดซึ่งได้พิสูจน์แล้วก็คือการที่มีสภาพจิตใจที่แข็งแรง หรือมีทัศนคติที่ถูกต้อง มีวุฒิภาวะทางอารมย์ดี สิ่งเหล่านี้เป็นองค์ประกอบพื้นฐานโดยธรรมชาติ ที่จะทำให้เราดูอ่อนเยาว์ได้อย่างยั่งยืนจากภานในถึงภายนอก จากจิตใจออกมาสู่ร่างกาย หวังว่าทุกท่านจะสามารถคงความแข็งแรงไว้ได้อย่างสดใส สดชื่น กระฉับกระเฉง และเปี่ยมด้วยสมองอันเฉียบคมอยู่เสมอ หากต้องการใช้วิทยาการเพื่อความสวยงาม หรืออ่อนเยาว์ก็ขอให้ใช้อย่างเหมาะสม หลังจากที่ได้ศึกษาข้อมูล ทราบผลกระทบต่างๆ แล้วเป็นอย่างดี

วันจันทร์ที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2560

ประโยชน์ของการดื่มน้ำ



เรื่องดูง่าย ที่ใครก็อาจบอกว่ารู้แล้ว แต่ถ้า "I KNOW แล้ว ไม่มี "I DO" รับรองว่าผลดีไม่เกิดแน่ มาดูวิธี และประโยชน์ของการดื่มน้ำกันว่ามันดีแค่ไหน
1. ดื่มน้ำสะอาด ปราศจากสิ่งปนเปื้อนที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ
2. ดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว โดย 1 แก้วมีขนาดประมาณ 240 ซีซี โดยระยะเวลาที่ควรดื่มในหนึ่งวันอาจเปลี่ยนแปลงได้บ้างเล็กน้อย ตามสะดวกคือ ตื่นนอนตอนเช้า 1 แก้ว ตอนสาย (ประมาณ 09.00-10.00 น.) 2 แก้ว ตอนบ่าย (ประมาณ 13.00-14.00 น.) 3 แก้ว ตอนเย็น (ประมาณ 19.00-20.00 น.) 3 แก้ว และก่อนเข้านอน 1 แก้ว เพื่อให้น้ำที่ดื่มไหลเวียนชะล้างสิ่งที่ตกค้างในลำไส้และกระเพาะอาหาร ถ้าเป็นน้ำอุ่นจะช่วยให้หลับสบาย
3. ไม่ดื่มน้ำที่ร้อนมากหรือเย็นจัด ถ้าเป็นน้ำอุ่นเล็กน้อยดื่มในตอนเช้าจะทำให้การขับถ่ายดีขึ้น ลำไส้สะอาด
4. ไม่จำเป็นต้องดื่มน้ำครั้งละ 2-3 แก้ว ติดต่อกันทันทีให้ดื่มตามปกติ สบายๆ
5. ไม่ควรดื่มน้ำมากประมาณครึ่งชั่วโมง ก่อนและหลังรับประทานอาหาร
6. ไม่ควรรับประทานอาหารพร้อมกับน้ำดื่มตลอดเวลา
7. ควรมีน้ำสะอาดบรรจุขวด สำหรับเป็นน้ำดื่มพกติดตัวขณะเดินทาง
การดื่มน้ำที่สะอาดอย่างเพียงพอจะช่วยให้ระบบในร่างกายได้รับการกระตุ้นและพร้อมที่จะทำงาน ส่งผลให้เกิดประโยชน์ ดังนี้
1. นัยน์ตาสดใส เป็นประกาย เพราะมีน้ำหล่อเลี้ยงแวววาวตลอด ไม่มีเส้นเลือดแดงก่ำ ไม่แสบตา
2. ใบหน้าชุ่มชื่น เต่งตึงเป็นสีชมพู เพราะเลือดไหลเวียนดี
3. ปาก ลิ้นสะอาด ไม่ร้อนใน
4. ผิวกายไม่เหี่ยวย่น
5. ลมหายใจสะอาดสดชื่น หายใจโล่งเย็น
6. เลือดไม่ข้น การไหลเวียนเป็นไปได้ง่าย สูบฉีดดี หัวใจจึงไม่ทำงานหนัก ไม่เมื่อยล้า ไม่เหนื่อยง่าย หัวใจเป็นปกติ มีประสิทธิภาพดีและแข็งแรง
7. ระบบขับถ่ายดี ไม่ท้องผูก
8. ไตดี ปัสสาวะใสสะอาด ไม่ปวดหลังปวดเอว รูขุมขนมีเหงื่อชุ่มเสมอ
ใครที่อยากมีสุขภาพดี แข็งแรง สวยหล่อ ขอให้นึกถึงวิธีพื้นฐานธรรมชาติคือ การดื่มน้ำสะอาดในปริมาณเพียงพอ
เครดิต : manager.co.th



 คลิกลงทะเบียนรับหนังสือฟรี

คลิกลงทะเบียนรับหนังสือดูและสุขภาพฟรี


วันอาทิตย์ที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2560

Molecular Resonance Effect Technology คืออะไร

Molecular Resonance Effect Technology 
หรือที่เรียกโดยย่อว่า MRET นั้นคืออะไร และน้ำปรับโมเลกุลเอ็มเร็ท MRET คืออะไร ขอตอบคำถามข้อหลังก่อนว่า...


น้ำปรับโมเลกุลเอ็มเร็ทคืออะไร


น้ำปรับโมเลกุลเอ็มเร็ทคือน้ำที่มี “สภาพคล่องยิ่งยวด” (super liquidity) ช่วยเติมความชุ่มฉ่ำให้กับเซลล์ร่างกายคุณได้มากกว่าน้ำธรรมดาถึง 3 เท่า นอกจากนี้ ยังช่วยเพิ่มการดูดซึมสารอาหาร และขับของเสียออกจากเซลล์ได้เป็นอย่างดีอีกด้วย



     เนื่องจากร่างกายมนุษย์มีน้ำเป็นส่วนประกอบในปริมาณที่สูงถึง 75% การรักษาระดับ “ความชุ่มน้ำ”ภายในเซลล์ (ICW) จึงเป็นสิ่งจำเป็นมาก

     การเพิ่มความชุ่มน้ำให้กับเซลล์ จะถูกชี้วัดโดยปริมาณน้ำที่อยู่ภายในเซลล์ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญมากในการให้พลังชีวิต และส่งเสริมประสิทธิภาพการทำงานทางสรีรวิทยาอย่างเหมาะสม


     ทฤษฎีที่อยู่เบื้องหลังการสร้างสรรค์น้ำแอคทิเวท หรือน้ำปรับโมเลกุลเอ็มเร็ทนั้น อาศัยหลักกฎเกณฑ์ทางฟิสิกส์อย่างแท้จริง สิ่งประดิษฐ์นี้สร้างจากแนวคิดที่ว่า สนามแม่เหล็กไฟฟ้าที่ได้รับการดัดแปลงมาเป็นพิเศษ สามารถส่งผลต่อโครงสร้างของสสารอื่นๆ ได้ ทั้งในระดับโมเลกุลและอะตอม

ทีนี้มาตอบคำถามข้อแรกที่ว่า MRET คืออะไร


     หัวใจของการประดิษฐ์ของเทคโนโลยีที่สร้างผลกระทบจากการสั่นพ้องในระดับโมเลกุล(เอ็มเร็ท) หรือ Molecular Resonance Effect Technology (MRET) นี้ สร้างขึ้นจากสารประกอบโพลิเมอร์เชิงขั้ว (Compound Polymeric Body) ผสมกับสารอินทรีย์ และอนินทรีย์ทางเภสัชศาสตร์ในสัดส่วนที่ลงตัว และภาชนะสำหรับบรรจุน้ำหรือของเหลว

     ในขั้นตอนการ ”กระตุ้นพลังน้ำ” หรือ “การแอคทิเวท” สารประกอบโพลิเมอร์พิเศษนี้จะถูกจัดวางในตำแหน่งที่ได้รับการกระตุ้นด้วยสนามแม่เหล็กไฟฟ้าในช่วง 2,000-25,000 เออร์สเตด ที่วางไว้ภายนอก พร้อมกับได้รับแสงที่มีความยาวคลื่นในช่วง 400-800 นาโนเมตร และความถี่ในระดับ 7.8 Hz. (เฮิร์ทซ)


การกระตุ้นดังกล่าว ทำให้โพลิเมอร์ MRET กำเนิดคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่มีความถี่ต่ำมาก ลงไปสู่ภาชนะที่เก็บน้ำ และส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างโมเลกุล และคุณสมบัติทางกายภาพ (ฟิสิกส์) ของน้ำอย่างมากมาย ซึ่งมีผลดีต่อสรีรวิทยาของสิ่งมีชีวิต




การกำเนิดคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าความถี่ต่ำมากดังกล่าวนั้นมีความคล้ายคลึงกับคลื่นสนามแม่เหล็กโลกตามธรรมชาติ ซึ่งพบได้ในเฉพาะพื้นที่บางแห่งบนโลก เช่น บริเวณเทือกเขาคอเคซัสในยุโรป หรือเทือกเขาทิเบตในเอเชียซึ่งน้ำจากแหล่งดังกล่าวมีคุณสมบัติทางฟิสิกส์จลศาตสร์เปลี่ยนไป และถูกนำไปใช้กันนานหลายศตวรรษ ในการส่งเสริมสุขภาพช่วยบำบัดโรค, ทำให้อายุยืนยาว อีกทั้งยังช่วยขจัดพิษ โลหะหนัก สารก่อภูมิแพ้ และสารพิษอื่น ๆ ออกจากร่างกายสิ่งมีชีวิตได้อีกด้วย



เกิดอะไรขึ้น หลังการกระตุ้นพลังน้ำ ?

ในระหว่างกระบวนการแอคทิเวท หรือกระตุ้นพลังน้ำโดย MRET โมเลกุลน้ำจะบันทึกสัญญาณคลื่นความถี่ต่ำที่มีลักษณะเบาบางและมีผลดีต่อสุขภาพ และจะเหนี่ยวนำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงรูปแบบพันธะองศาไฮโดรเจนของโมเลกุลน้ำเกิดการจัดเรียงโครงสร้างโมเลกุลของน้ำในช่วงยาวขึ้น (Long-range multilayer molecular structures) การทำมุมจับกันอยู่ประมาณ 109.47 ๐ และมีความคล้ายคลึงกับโครงสร้างโมเลกุลของน้ำที่อยู่ในเซลล์


นอกจากนี้ในสภาพของน้ำ และของเหลวที่ได้รับการกระตุ้นพลัง โครงสร้างโมเลกุลจะถูกจัดเรียงเป็นชั้นอย่างมีระบบระบบ ดึงดูดกันที่ขั้ว + ขั้ว – เรียกการเรียงตัวนี้ว่า “การสร้างพันธะเชิงขั้วต่อๆ กัน (Polarized Oriented Multilayer Formation) และมีการส่งผ่านข้อมูล(คลื่นความถี่ต่ำ)ที่ดีต่อสุขภาพ ถ่ายทอดไปยังโมเลกุลของน้ำที่อยู่ใกล้เคียงต่อไปเรื่อยๆ รวมถึงน้ำที่อยู่ภายในระบบชีวภาพของเซลล์ร่างกายก็จะถูกชี้นำปรับเปลี่ยนให้เป็นระบบระเบียบเช่นเดียวกัน





ที่มาข้อมูล :Smirnov I. Activated Water. Electronic Journal of Biotechnology. 2003;(6)2:p.128-142.Fisher H W, Smirnov I V. Molecular Resonance Effect Technology: The Dynamic Effects on Human Physiology. Britannia Press. Toronto. 2008;p.12 & 7www.uspto.govVysotskii V I, Smirnov I V, Komilova A A. Introduction to the Biophysics of Activated Water. Universal Publishers. Boca Raton, FLA. 2005.Activated water by Igor Smirnov, Explore Volume 11, Number 2,2002Fisher H W, Smirnov I V. Molecular Resonance Effect Technology: The Dynamic Effects on Human Physiology. Britannia Press. Toronto. 2008;p.10.Smirnov IV.Activated Water,Explore Jounal Vol 11,Number 2,2002Smirnov IV. The Anomalous Electrodynamic Characteristics and Polarized-Oriented Multilayer Molecular Structure of MRET-Activated Water. Intl J Nanoscience. 2008; Vol.7, (4 and 5): p.1-5.Smirnov IV. MRET Activated Water and its Successful Application for Prevention Treatment and Enhanced Tumor Resistance in Oncology; European Journal of Scientific Research, ISSN 1450-216X Vol16 No.4 (2007),pp.575-583

วันอังคารที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2560

วิตามิน ที่ช่วยปกป้องและส่งเสริมผิวของคุณ ให้สวยใส มีอะไรกันบ้าง


วิตามิน ที่ช่วยปกป้องและส่งเสริมผิวของคุณ ให้สวยใส นั้นมีอยู่หลายตัว ดังเช่น

1.วิตามินซี่ ทราบกันดีว่า วิตามินซี ช่วยให้ผิวขาว มีส่วนสำคัญอย่างมากในการช่วยผลิตสังเคราะห์คอลลาเจน นอกจากนี้วิตามินซี ยังช่วยในการลดเลือนริ้วรอย และปรับปรุงสภาพผิวที่เกิดความเสียหาย ให้กลับไปมีสภาพที่สมบูรณ์แข็งแรง

2.วิตามินเอ เป็นหนึ่งในวิตามินที่ช่วย บํารุงผิว กระจ่างใส ได้เป็นอย่างดี ด้วยคุณสมบัติในการช่วยซ่อมแซมเนื้อเยื่อผิวให้สุขภาพที่ดี หากคุณขาดวิตามินเอ อาจจะทำให้ผิวเกิดความแห้งกร้านไม่สม่ำเสมอ และจากการวิจัยของ American Academy of Dermatology พบว่า การทานวิตามินเอ หรือการใช้โลชั่นที่มีส่วนผสมของวิตามินเอกับผิว จะช่วยในการควบคุมสิว และริ้วรอยให้น้อยลบได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วย

3.วิตามินบีคอมเพล็กซ์ เป็นวิตามินที่ช่วย บํารุงผิว กระจ่างใส คุณจึงไม่ควรพลาด ด้วยคุณสมบัติสุดพิเศาในการช่วยป้องกันโรคผิวหนัง และให้ความชุ่มชื้นแก่ผิว ทำให้เซลลืผิวเรืองแสง มีสุขภาพที่ดี และในผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของวิตามินบี ยังมีคุณสมบัติในการช่วยต่อต้านอาการอักเสบ และริ้วรอยบนผิวได้อย่างดีอีกด้วย

4.วิตามินอี เป็นหนึ่งในตัวเลือกที่ดีที่สุด ด้วยคุณสมบัติที่ช่วยในการลดการปรากฏตัวจองรอยแผลเป็น และลดเลือนความแห้งกร้านของผิวให้น้อยลง ผิวจึงแลดูอ่อนนุ่มมากยิ่งขึ้น

5.วิตามินเค มักนิยมนำมาใช้กับผิวพรรณ ด้วยคุณสมบัติในการช่วยแก้ไขปัญหาผิวหมองคล้ำ และรอยฟกช้ำได้เป็นอย่างดี และยังช่วยในการลดเลือนริ้วรอยบนผิวให้จางน้อยลงอย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย
นอกจากวิตามินจะเป็นส่วนผสมที่นิยมในผลิตภัณฑ์บำรุงผิว และเครื่องสำอางประเทืองความงามแล้ว การรัปทานวิตามินสกัดในรูปแบบเม็ดรูปแบบอาหารเสริมก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่นิยมของผู้บริโภค
แต่เราขอแนะนำให้ท่านรัปทานอาหารต่างๆ ให้หลากหลาย ครบหมู่ เพื่อให้ได้วิตามินต่างๆ อย่างครบถ้วนจากอาหารโดยตรง ดื่มน้ำดื่มที่ส่งเสริมสุขภาพที่ดีอย่างเพียงพอ เช่นน้ำที่สามารถนำพาสารอาหาร และวิตามินไปใช้ให้เกิดประโยชน์อย่างรวดเร็ว นำของเสียออกจากเซลล์ จากร่างกายได้อย่างรวดเร็ว ทำการออกกำลังกายสม่ำเสมอ และพักผ่อนอย่างพอเหมาะของแต่ละวัย เท่านี้ผิวของท่านก็จะสดชื่น กระจ่างใส เยาว์วัยอยู่เสมอค่ะ
เครดิต : beauty24 store.com



วันพุธที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

กินให้ดี ไม่มีท้องผูก

จริงอยู่ว่าท้องผูกไม่ถึงกับตาย แต่ทำให้รู้สึกไม่สุขสบายและส่งผลต่ออารมณ์และไลฟ์สไตล์ของชาวเรา
อาการท้องผูก (Constipation) สามารถเกิดขึ้นได้กับเพศและทุกวัย ข้อมูลจาก กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ระบุว่า การเกิดท้องผูกในคนไทยพบได้ 3 - 20% และพบเพิ่มขึ้นเป็น 20 - 25% ในผู้สูงอายุ จริงอยู่ว่า ท้องผูกเป็นเพียงอาการไม่ใช่โรค และท้องผูกไม่ได้เป็นสาเหตุให้ถึงกับเสียชีวิตโดยตรง แต่อาการที่เหมือนจะเล็กน้อยนี้ก็ทำให้เรารู้สึกไม่สบายตัว ส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิต
ท้องผูกสามารถป้องกันและจัดการได้ หากเรารู้วิธีการดูแลสุขภาพ ก่อนอื่นต้องรู้สาเหตุของท้องผูกในผู้สูงอายุ ซึ่งปัจจัยข้อใหญ่ลำดับแรกคือการรับประทานอาหารที่มีใยอาหารน้อย และดื่มน้ำน้อยกว่าวันละ 1.5 ลิตร เพราะการที่ร่างกายได้รับน้ำน้อยทำให้อุจจาระแข็งและถ่ายลำบาก บวกกับนิสัยการชอบกลั้นอุจจาระหรือไม่ได้ถ่ายอุจจาระทุกวันโดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังอาหารเช้า จึงมีการสะสมอุจจาระในลำไส้มากขึ้นและเกิดภาวะท้องผูกในที่สุด
แต่เมื่อเกิดภาวะท้องผูกแล้วก็ต้องดูแล ควรรับประทานอาหารที่มีใยอาหารสูง เช่น ประเภทผัก ผลไม้ พืชตระกูลถั่ว และธัญพืชต่างๆ เช่น ข้าวกล้อง ข้าวซ้อมมือ ข้าวสาลี เพื่อกระตุ้นการขับถ่าย โดยเพิ่มเข้ามาในมื้อที่เคยรับประทานเป็นประจำ หรือรับประทานเป็นอาหารว่าง อย่างใดอย่างหนึ่งต่อ 1 มื้อ เช่น ส้มเขียวหวาน กล้วยน้ำว้า กล้วยหอม มะม่วงสุก แอปเปิ้ล อย่างละ 1 ผล /มะละกอสุก 6 - 7 ชิ้น/ เงาะ มังคุด อย่างละ 3 - 5 ผล หรือชมพู่ 4 ชิ้น เป็นต้น
ทั้งนี้ การเลือกชนิดของผลไม้จะต้องพิจารณาแล้วว่าไม่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพอื่นๆ เช่น ไม่มีปัญหาโรคไต ไม่มีโรคระบบทางเดินอาหารเดิม ดังนั้น ก่อนจะเพิ่มอาหารเสริมเหล่านี้ในผู้ที่มีโรคประจำตัว ควรปรึกษาแพทย์เพื่อความเหมาะสม
อาหารที่ควรหลีกเลี่ยงเมื่อท้องผูก คือ ขนมหวาน ขนมกรุบกรอบ บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป อาหารรสจัด เผ็ดจัด เค็มจัด หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มประเภทชา กาแฟ สุรา หรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และน้ำอัดลม เป็นต้น

ส่วนการดื่มน้ำเปล่า แนะนำให้ดื่มหลังตื่นนอนทันที หรือก่อนอาหารเช้าอย่างน้อยครึ่งชั่วโมง จิบน้ำเป็นระยะหรือดื่มน้ำทันทีเมื่อรู้สึกกระหาย รวมทั้งดื่มน้ำ-เครื่องดื่มที่ช่วยกระตุ้นการขับถ่าย เช่น น้ำมะขามเติมน้ำผึ้งแท้วันละ 1 - 2 แก้ว นมเปรี้ยว น้ำว่านหางจระเข้ เครื่องดื่มเหล่านี้ล้วนมีสรรพคุณในทางกระตุ้นการขับถ่ายอุจจาระได้คล่องช่วยแก้ไขปัญหาท้องผูกได้
จึงแนะนำให้ดื่มน้ำให้เพียงพอ อย่าปล่อยให้ร่างกายขาดน้ำ โดยเฉพาะหากคัดสรรน้ำที่สามารถซึมเข้าสู่เซลล์ได้อย่ามีประสิทธิภาพ ก็จะสามารถช่วยให้การขับถ่ายทำได้อย่างเป็นปกติ

เครดิต สสส.thaihealth.org

ที่มา : 40plus.posttoday